วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ชำแหละ!! GT-R R34 Z-Tune (Z2)

มาต่อกับขั้นตอนการชำแหละเจ้า GT-R ต่อจากบทความที่แล้วกัน
เริ่มจาก
ภายนอก
ได้รับการตกแต่งด้วยชุดแต่ง wide-body ของ nismo รอบคันโดย วัสดุทุกชิ้น ทำมาจาก carbon fiber
ไม่ว่าจะเป็นฝากระโปรงหน้าที่มีช่องระบายความร้อนจากเครื่องยนต์ กันชนหน้า โป่งล้อหน้าแบบ
over fender, side skirt และกันชนหลัง
อย่างไรก็ดี rear diffuser จะถูกถอดออกไป เพราะแผ่น diffuser มันดันไปติดระบบ
oil cooler ที่อยู่ใต้ท้องรถด้านหลัง ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนั้น ได้แก่
ไฟเลี้ยวในกันชนหน้า ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นแบบรมดำ ไฟท้ายทรงโดนัทเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนไปใช้
หลอกไฟแบบ LED ตามสมัยนิยม แปะ Sticker คำว่า Z2 ไว้ที่มุมด้านล่างขวา และก็จับสาดสี
ใหม่ทั้งคันเป็น Nismo Silver


เมื่อตัวรถได้รับการตกแต่งใหม่ จนหล่อเฟี้ยวแล้ว ไอ้ครั้นจะใช้ล้อเดิม มันก็จะอายเขาเปล่าๆ
ทาง Nismo ก็เลยหันไปเอาล้อของตัวเอง รหัส LM GT4 "GT500" ขนาด 18" ซึ่งเป็นล้อที่พัฒนา
ร่วมกับ Rays มาใส่แทน ประกบกับยาง Bridgestone รุ่น Potenza RE55S ซึ่งเป็นยางแบบ Semi Slick
ขนาดยาง 265/35 R18 จึงออกมาหล่อเหลาอย่างที่เห็น

ภายใน ก็ได้รับการตกแต่งใหม่ไปด้วยเช่นกัน สงสัยจะกลัวว่าคนนั่งจะไม่รู้ว่ามันเป็นรุ่นพิเศษ
โดยการนำเอาเบาะเดิม ไปหุ้มหนังดำแดง เดินด้ายแดง ทั้งเบาะด้านหน้าและหลัง ส่วน
พวงมาลัยเดิมของ GT-R R34 ที่มันสวยอยู่แล้วนั้น คาดว่าทาง Nismo คงเห็นว่าสวยเกินไป - -"
เลยไปเอาพวงมาลัย Nissan รุ่นไหนก็ไม่รู้ มาใช้แทน นำไปหุ้มหนังกลับดำแดง บนพวงมาลัย
เพื่อให้เข้ากันกับเบาะ จอ MFD ได้รับการ upgrade ในส่วนของโปรแกรม โดยไปใช้ของ Nismo
ที่สามารถวัดค่าอะไรหลายๆอย่างได้มากขึ้น แล้วก็เปลี่ยนหน้าปัดวัดความเร็ว ไปใช้แบบที่มี
scale ถึง 320 km/h แบบพื้นขาวแทน





และในส่วนของ เครื่องยนต์ แน่นอนว่าต้องเป็น RB26 DET โดยจะเอามาทำใหม่หมดทั้งตัว
จนกลายเป็น "Z2" เริ่มจากการนำไปขยายความจุด้วยชุด kit ของ Nismo จากความจุเดิมๆ เป็น
2,771 cc เปลี่ยนลูกสูบ แหวน วาล์ว สปริง ก้านสูบ และข้อเหวี่ยง ไปใช้รุ่นที่มันทนทานขึ้น
เปลี่ยน camshaft ไปใช้แบบที่มันมี องศาสูงขึ้นทั้งฝั่ง ไอดีและไอเสีย ฝาสูบ นำไปปรับแต่งใหม่ทั้งหมด
ขัดพอร์ตให้อากาศมัน flow ได้ดีขึ้น แต่งบ่าวาล์วใหม่ เปลี่ยนหัวฉีดใหม่ เป็นขนาดที่ใหญ่ขึ้น
ฝาครอบวาล์วนำไปพ่นเม็ดทรายสีดำด้าน พร้อมทั้ง แปะป้าย "Z2" เพื่อบอกถึงความไม่ธรรมดาของมัน..



ยังไม่หมดแค่นั้น จากนั้นก็เปลี่ยนปั๊มน้ำมันเครื่อง เพื่อให้สามารถใช้งานในรอบสูงๆ ได้อย่างไม่ต้องกลัว
ปรับปรุงระบบท่อไอดี และ intake ใหม่ทั้งหมด กล่องกรองอากาศถูกออกแบบใหม่ เพื่อให้ดักอากาศ
ได้มากขึ้น หลังจากนั้นก็เปลี่ยน turbo ใหม่ ไปใช้ของ Nismo เอง แต่ยังคงเป็น twin turbo เหมือนเดิม
เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานแบบ street use!!! (ใส่ขนาดนี้ ยังมีหน้ามานึกถึงเรื่อง street use นะ - -")

เมื่อเปลี่ยน turbo ใหม่ ระบบระบายไอเสีย ก็ต้องถูกเปลี่ยนใหม่เช่นกัน โดยตั้งแต่ header ไล่ไปจนถึง
ท่อไอเสียท้ายรถนั้น ถูกเปลี่ยนไปใช้ของ Nismo เอง เพื่อให้อากาศมันระบายออกได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ท่อไอเสียตั้งแต่หลัง cat ไปนั้น เป็น titanium ทั้งเส้น ซึ่งน้ำหนักเบากว่าท่อเดิมๆ อยู่หลายกิโล


cooling system ก็ถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น oil cooler หรือ intercooler
ต่างก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับกับความแรงที่เพิ่มมากขึ้น

และผลที่ได้จากการปรับปรุงครั้งนี้คือ แรงม้ารวมทั้งหมด 500 bhp @ 6800 rpm กับแรงบิด
540 Nm @ 5200 rpm ถึงตอนนี้ ใครๆหลายคนอาจรู้สึกว่า มันน่าจะแรงกว่านี้รึเปล่า??
คำตอบคือ ใช่ครับ มันน่าจะแรงกว่านี้ ถ้าเทียบกับรถแต่งระดับนี้ 500 แรงม้านั้น
อาจจะดูไม่มากนัก เมื่อเทียบกับของที่ใส่ลงไป โดยถ้าเทียบกับเจ้า "Z1" แล้ว
"Z2" ก็มีแรงม้าน้อยกว่าอยู่ร่วมๆ ร้อยตัวเลยทีเดียว แต่!! ...
อย่าลืมว่า ความเหนียวและความทนนี่ไม่ต้องห่วง เพราะถึงขนาดนี้ ผ่านรายการ Endurance มาได้แล้ว
แสดงว่าไม่ธรรมดาแน่นอน อึด ถึก ทนมือทนเท้า เล่นได้ไม่มียั้ง



มาต่อกันที่ระบบส่งกำลังกันบ้าง ซึ่งก็ได้รับการปรับปรุงใหม่หมดเช่นกัน เพื่อให้แรงม้าทั้งหมด
ลงสู่พื้นได้เต็มๆ.. clutch ถูกเปลี่ยนไปใช้แบบ twin plate ทองแดงผสมของ Nismo แน่นอนว่า flywheel ก็ด้วยเช่นกัน เกียร์และเฟืองท้ายก็ได้รับการ set ใหม่หมด นอกจากนี้ เพลากลางก็ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแบบที่ทำจาก carbon-kevlar เพื่อความเบาและทนทาน

เมื่อความแรงมากขึ้น ช่วงล่างและระบบเบรกก็ต้องได้รับกาปรับปรุงให้เหมาะสมกับความแรงที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน โดย Nismo ได้ร่วมมือกับ SACHS บริษัทที่ผลิตโช้คอัพให้กับทีม F1 อย่าง Ferrari โดยโช้คอัพตัวนี้ สามารถปรับค่าของโช้คอัพได้ 3 ทิศทาง และยังสามารถปรับความสูงต่ำของรถได้อีกด้วย ซึ่งโช้คอัพตัวนี้ได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาแล้วจากรายการ GT500 ว่าสามารถสร้างความสนิทสนมกับพื้นโลกได้เป็นเป็นอย่างดี


ระบบเบรกนั้นไม่ต้องคิดมากให้เมื่อยสมอง เพราะผูกขาดอยู่เจ้าเดียวเหมือนรัฐบาลบางประเทศ
กับผู้ผลิตนามว่า Brembo โดยงานนี้ทาง Nismo และ Brembo ได้ตกลงร่วมมือกันว่าจะผลิตเบรกที่สามารถสร้างแรง G ได้มากถึง 1.6 G เมื่อรถคันนี้ใส่ยาง slick และเหยียบเบรกจนสุด โดย
caliper brake ด้านหน้าเป็นแบบ mono block 6 pistons พร้อมจานเบรกที่พัฒนามาร่วมกับ KIRYU
แบบสองชิ้นขนาด 365 มม. ใหญ่สะใจวัยรุ่น ส่วนด้านหลังนั้นเป็นจานเบรกเป็นแบบชึ้นเดียวขนาดใหญ่ไม่น้อยหน้าที่ 355 มม.

สุดท้าย ระบบ ABS ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่หมดเพื่อให้เหมาะสมกับเบรกใหม่ และความแรงที่เพิ่มขึ้น และนั่นก็รวมไปถึงการ tuned ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ATTESA ET-S Pro และ Active LSD ใหม่ด้วย เพื่อให้ระบบทุกระบบทำงานได้สอดคล้องกัน และสามารถถ่ายทอดแรงม้ากับแรงบิดที่เพิ่มมากขึ้นไปสู่ล้อได้อย่างพอดี เพื่อการความคุมที่สมบูรณ์แบบที่สุด


Nissan Nismo Skyline GT-R Z-tune (Z2) นั้นจะถูกผลิตออกมาทั้งหมด 20 คันเท่านั้นครับ และได้เปิดให้จองกันไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ด้วยราคาแถวๆ 170,000 $ ไม่รวมภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศ แถม Factory Warranty มาให้อีก 1 ปี 10,000 km. ราคาระดับนี้ เข้าบ้านเราต้องมีสักเกือบๆ 20 ล้านบาท และในบ้านเรา โอกาสเห็นตัวเป็นๆ ก็คงหมดสิทธ์ตามฟอร์ม เพราะว่าแย่งกันจองหมดไปตั้งนานแล้วว...


สรุปรายการแต่งทั้งหมด :

Engine: RB26DETT Z2, bored up to 2.8L
Power: over 500 HP
Torque: over 400 lb-ft
Tires: Bridgestone Potenza RE55S
Wheels: VolkRacing Nismo GT4 GT500 Edition
Clutch: Super Coppermix Twin
Suspension: Sachs 3-way coilover
Brakes: Brembo 6P brakes
Carbon Fiber widebody
Carbon Fiber propeller shafts
Active LSD
Titanium Exhaust
IHI turbine
Nismo 320km/h white gauges
Multi Function Display, data logger, and whole bunch of internal engine mods, suspension mods, interior mods, etc...

1 year 10,000 kms factory warranty.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น